วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ความหวังของดอกไม้ป่า The song of sparrow

                      The song of sparrow     


               
(Iran,2008, Majidi Majidi )

"ความหวังของดอกไม้ป่า"   


บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์

ถ้าจะพูดถึงวงการหนังอย่าง ประเทศอิหร่าน อุตสหกรรมด้านภาพยนตร์ของเขาก็มีหนังเล็กๆ หนังรางวัลดีๆอยู่หลายเรื่องเหมือนกัน  เราดูได้มีโอกาสดูจริงแค่ 3 เรื่องเท่านั้น   Children of heaven, A separation, แล้วก็  The song of sparrow  แล้วก็พบว่าทั้งสามเรื่องนั้นมี สองเรื่องที่โทนคล้ายๆกัน พูดถึงสังคมชนชั้นกลาง เกือบล่างที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเรื่องความยากจน  นั่นคือ  Children of heaven กับ  The song of sparrow ส่วน a separation  เป็นการวิภากษ์สิ่งที่เรียกว่าความถูกผิดของมนุษย์   


(Struggle for Existence)  

หมายถึงการดิ้นรนต่อสู้กับความยากลำบากเพือการอยู่รอด   ในหนังตระกูลนี้ที่เราชอบก็พวก  Beijing in bicycle ของจีน  จะว่าไปมาเทียบกับ The song of sparrow นั้นละม้ายคล้ายกันตรงที่ ตัวละครใช้พาหนะคู่กายในการทำมาหากิน เป็นสิ่งที่ใช้ต่อสู้เพื่อการมีอยู่ในแต่ละวัน  เพียงแต่ The song of sparrow ให้ความหวังกว่ามาก   ในขณะที่ beijing in bicycle ตัวละครหลักนั้นไม่มีครอบครัวมาเอิ้อหนุนเลย  



เรื่องมันพูดถึง ครอบครัวนึงในชนบทเล็กๆของอิหร่าน ทีหัวหน้าครอบครัวเลี้ยงนกกระจอกเทศ เลี้ยงชีพ เข้าใจว่าเป็นปศุสัตว์ เก็บไข่ก็กินมั่ง ขายมั่งประมาณนี้  ครอบครัวประกอบด้วย ภรรยา และ ลูก 3 คน  คนเล็กสุดผู้หญิง  คนกลาง เด็กชายทีมีความฝันอยากเลี้ยงปลาในบ่อ  และ พี่คนโตสุดที่มีปัญหาด้านการฟังเสียง  ที่กำลังจะเข้าศึกษาต่อ ต้องใช้เครื่องช่วยฟัง  เป็นปัจจัยทั้งหมดของหนังเรื่องนี้เลย  
หนังสะท้อนถึง ความเป็นชนบทได้ค่อนข้างดี  การกินอยู่ในแต่ละวันอันแสนเรียบง่ายของคนที่นี่  เลี้ยงสัตว์ เก็บผัก ขายดอกไม้  ทำให้เราเห็นความสุขของคนเรามันงดงามแบบนี้นี่เอง  ไม่ต้องไปแข่งขันมาก 
แค่ดิ้นรนไม่ให้ลำบากมากก็พอ  เราเลยมองเห็นถึงการสร้างความสุขของคนเรานั้นว่ามันสามารถสร้างได้ทุกที่ ไม่ต้องไปไกล จะที่ไหนเราก็มีได้ แค่เราคิดว่ามีมันก็สุขแล้วครับ  



การมองเห็นความดิ้นรนของผู้ยากไร้ ไม่ว่าจะสังคมเมือง หรือชนบทเรายังเห็นการตะเกียกตะกายของมนุษย์เราทุกที่  การแย่งงานต่างๆ เพื่อเลี้ยงชีพ   

การมองเห็นความหวังไกลๆ ของผู้คน  จากบ่อโคลน น้าคำสกปรก เป็นบ่อปลาที่สะอาด  เราเลยคิดว่าเออทุกอย่างมันเปลี่ยนได้เว้ย ถ้าคนเราเชื่อและจะทำมันจริงๆ 


รวมถึงยังมีเรื่องของศาสนา ความเชื่อต่อพระเจ้าอัลเลาะห์ การทำดี ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง อีกด้วย เมื่อทำดีจงยึดมั่นเดี๋ยวสิ่งดีๆก็จะตามมา  ถึงจะจนตรอกไงก็ไม่เอาเปรียบ  


รวมๆหนังปลอบประโลม และให้กำลังใจคนสิ้นหวังมากๆ  ว่าดอกไม้ที่มาจากป่าใช่ว่ามันจะสกปรกไปตลอด มันอาจจะเกิดในสิ่งแวดล้อมที่ดูเปรอะเปื้อนบ้าง ไม่สวยงามเหมือนดอกไม้ในเมือง  มาจากทุนที่น้อยกว่า ต่ำกว่า แต่เมื่อวันนึงดอกไม้ป่าโตขึ้นเรียนรู้ที่จะอยู่ยังไงให้รอด มันก็สามารถผลิใบที่สวยงามได้อยู่เหมือนกัน แค่อย่าทำให้ตัวเองเฉาตาย จงอยู่อย่างมีหวังนะเจ้าดอกไม้ 

คะแนน B


วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

" เมื่อประวัติศาตร์ของอดีตถูกปัจุบันกดทับ สิ่งที่เหลืออยู่คือความลางเลือน" Snap

Snap



(Thailand,2015, คงเดช จาตุรันรัศมี )


" เมื่อประวัติศาตร์ของอดีตถูกปัจุบันกดทับ สิ่งที่เหลืออยู่คือความลางเลือน" 


บทวิจารณ์และวิเคราะห์ 


หนัง nostalgia สุดขีด ทำให้เราคิดถึงโมงยามตอนเราเรียนพวก ม ปลาย จัง สิ่งต่างๆในหนังมันพาเรากลับไปบรรยากาศแบบนั้นจริงๆ โต๊ะเรียนเขียนด้วย liquid โรงยิมที่มีเสียงเด็กเล่นกีฬา ร้านจักยานเก่าๆ ร้านถ่ายรูปของคุณเพื่อนพระเอก โหแล้วก็พบว่ามันงดงามมาก ยิ่งเพลงในหนังเป็นเพลงที่ fat radio กำลังบูมๆในช่วงปี 2002-2004 แต่งงาน moor , bakery อยากหลับตา , ยอม p.o.p โห โครตได้ฟิวเลยครับ มาเต็มจริง เหมือนได้นั่งฟังเพลงจากวิทยุเก่าๆแล้วอัดเพลงพวกนั้นใส่เทป cassette จริงๆ ตอนนั้นเป็นอะไรที่มีความสุขมาก รู้สึกว่าการฟังเพลงที่เราชอบแต่ละเพลงโครตมีค่า ต้องรอให้ดีจคนโปรดเราเปิด  เราว่ามันมีเสน่ห์ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เพลงนั้นถูก search ผ่าน google, youtube  หาฟังง่ายมาก  เราว่าความเก่ามันดีตรงนี้  

อดีตไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของความทรงจำที่สวยงามเสมอไป เมื่อเรานึกถึง อดีตถูกคนเราหลงลืมไปและบางครั้งก็ยังถูกปัจุบันและกาลเวลกดทับ เท่ากับว่าเรื่องราวในอดีตนั้นกำลังจมหายไปเรื่อยๆ จนไม่มีให้จดจำในที่สุด ความเว้าแหว่งของโมงยามต่างๆในอดีตมีมาก จนบางครั้งไม่สามารถประติดปะต่อภาพในวันวานได้ มันดูพร่าเลือนไปหมด

แม้กระทั่งรุปถ่ายของผึ้งและบอยใน aquarium ที่พยายามปะติดปะต่อและเชื่อมโลกของการมีอยู่ในการชดเชยโมงยามที่เคยขาดหายไป ของพวกเขาก็ยังจะโดน delete ไปจากมือถือผึ้งอีกครั้ง


จะว่าไป Snap เป็นการมอง โมงยามของผึ้งและบอยที่ถูก delete ถึงสองครั้ง ครั้งแรกเป็นเหตุการณ์เมื่อ 8 ปี ตอนเขาเรียน ผึ้งต้องย้ายไปกรุงเทพเพราะคำสั่งทางราชการของพ่อเธอ ทำให้เธอต้องย้ายโรงเรียน ไม่มีรูปในหนังสือรุ่นในกลุ่มเพื่อน เป็นการ delete แบบภาพยังไม่หายทีเดียว เหตุการณ์สองคือ ตอนที่บอยได้ reunion กลุ่มเพื่อนและผึ่งอีกครั้ง เพราะต้องมาถ่ายรูป pre wedding ให้เพื่อนในกลุ่มที่จันทบุรี ปัจจุบันผึ้งจะแต่งงาน และรูปที่ถูกถ่ายในมือถือผึ้ง ในฉากที่ทั้งสองไปที่ตู้ปลา นั้นเป็นแค่เศษเสี้ยวโมงยามเล็กๆในหนังของผึ้งและบอย กำลังจะถูกแทนที่ด้วย ภาพวิวาห์ในปุจุบัน
เหมือนกับว่าเหตุการณ์ที่พยายามจะปะติดปะต่อกันอีกครั้งระหว่างผึ้งและบอยนั้นไม่สำเร็จ มันได้ขาดหายไปตั้งแต่เมื่อ 8 ปีที่แล้วเกือบจะสมบูรณ์  เหลือแค่เศษโมงยามบางๆที่ถูกความทรงจำ snap ไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอดีตยังถูกปัจุบันกดทับอยู่ดี จนภาพที่เคย snap เอาไว้กำลังจะสูญสลายหายไปในที่สุด 

แค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจแต่เอากลับมาไม่ได้แน่และผมเชื่อว่า มันจะค่อยลางเลือนไปเรื่อยๆ ตรงนี้มันโดนเรามาก เจ็บลึกๆ   

ปล พี่โทนี่ เล่นได้ดีมาก แกน่าจะรับบทหนังนิ่งๆเหงาๆแบบนี้เรื่อยๆนะ เราว่าสไตล์พี่แกดี อย่าไปเล่นเลย comedy อะ
น้อง อิงค์ ( เหงา เหงา) ก็โอเลยครับ น่ารักผ่าน55

คะแนน A


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จงรักเขา ให้เหมือนที่เรารักตัวเอง The Blind side

 The Blind side


(U.S.2009,John lee hancock )



"จงรักเขา ให้เหมือนที่เรารักตัวเอง"   



บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์


หนังสร้างจากเรื่องจริงของ  ไมเคิล ออร์ นักอเมริกันฟุตบอลผิวสี ตัวใหญ่   เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวใหญ่ ผิวดำ ถ้ามองดูผิวเผิน น่ากลัว ไม่น่าคบหา  มาจกครอบครัวแม่ติดยา  อยู่บ้านข้างถนน hang out อยู่กับเพื่อนๆ กุ๊ย พวก rap ผิวสี พวก street life  เมื่อแม่หายไป เขาก็เดินออกมาในสภาพที่ไม่เหลือใคร วันหนึ่งไปเจอ  ครอบครัวชาวคริสต์ผิวขาร่ำรวย อุปการะไปเลี้ยงดู

หนังพีคมาก พีคถึงขั้นทำเราเอาหัวใจพองโต และซาบซึ้งไปกับ ครอบครัวใหม่ของเขาตลอดทั้งเรื่อง เป็น 120 นาทีที่มีความสุขมาก   และทำให้เห็นถึงค่าการให้โอกาสเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่ามันยิ่งใหญ่มากเพียงใด  ยังสะท้อนไปถึงหลักของศาสนาคริสต์ที่ว่า  จงรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน


ความแตกต่างระหว่างบุคคล

คนชายขอบ  (Fringe people ) =  คือกลุ่มของบุคคลที่ถูกกีดกั้นทางสังคม  เป็นคนนอก  พวกผิวสี  คนพิการ  คนเร่ร่อน  คนต่างด้าว พวกลักเพศ ก็ยังใช่  

คนใน =    คนรวย คนรูปร่างดี   การศึกษาสูง  พวกคนขาว ในสังคม คนผิวขาวถูกเชื่อ มาจากตระกูลดี  เป็นคนมีการศึกษา  

เมื่อสังคมถูกแบ่งจากคนสองกลุ่ม  คนนอกที่เดินอยู่ในเส้นนอกเล็กๆของตัวเอง  ไม่มีโอกาสเข้ามาในวงกลมของคนในได้  ถ้าเข้ามาก็เป็นพวกตัวประหลาด ถูกติฉินนินทาต่างๆ   เหมือนหนังเรื่อง 12 years salve ทีทำการ วิภากษ์คนนอก คนผิวสี ว่าเหมือนพวกทาส  มาจากชนชั้นต่ำต้อย  The blind side  คือ การดึงเอาคนนอกเข้ามาในวงของคนใน   


การศึกษาโรงเรียน โอกาส

โรงเรียนเป็นเหมือนสถาบันบ่มเพาะเด็ก เด็กทุกคนไม่ว่าจะมาจากไหน พวกเขาควรมีพื้นทีและให้โอกาส   เท่าๆกัน คนไอคิวสูง หัวดี  คนหัวขี้เรื่อย  ทุกคนสามารถที่จะพัฒนาได้  ความเก่งก็อาจคนละด้าน  เก่งตัวเลข  อีกคนเก่งภาษา อีกคนดนตรี  หรือบางคนกีฬา  แม้กระทั่ง เด็กพิเศษ กับ เด็กธรรมดาต้องอยู่ร่วมกันให้ได้  อย่าไปคัดแยกว่า ไอ้นี่พิเศษ มึงต้องไปกับพวกพิเศษ มันจะทำให้เด้กเกิดปมด้อยติดตัวไป  




Racism  (การเหยียดสีผิว)

ประเด็นการเหยียดผิวที่อเมริกา  สะท้อนความโหดร้ายความชิงชังเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  พวกผิวขาวทำตัวเป็นราชา เป็นเหมือนพวกราชสีห์ที่คอยข่มเหงกรีดเลือดเนื้อของ คนดำ คนดำเหมือนกลุ่มสัตว์เล็กที่ถูกล่า ซึ่งในปัจุบันถือว่ามีให้เห็นน้อยลงแต่ยังมีอยู่บ้าง ในหนังตอนแรกจะเห็นได้ว่า ตอนที่  บิ๊กไมค์ เข้าไปโรงเรียนที่มีแต่คนขาว ซึ่งแน่แน่นอน เขาถูกมองว่า แกะดำ หนำซ้ำยังโดนพวกอาจารย์พูดว่า ไอ้เด็กอ้วนดำคนนี้ไม่มีทางเก่งได้หรอก    บิ๊กไมค์ เป้นตัวละคร ที่ทำหน้าที่เป็น คนนอกอย่างสมบูรณ์แบบ (คนอ้วน, ผิวดำ, ไม่มีประวัติ, ยากจน
ครบคุณสมบัติ 

 แต่หนังนั้นให้กำลังใจคนนอก และบอกเราว่า คนนอกสามารถอยู่และมีชีวิตร่วมกับคนในได้อย่างปกติ  ศาสนาคริส ยังถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ทำลายกำแพงความต่าง ของมนุษย์เราได้  แต่ก็อยู่ที่คนจะศรัทธาอีก  เราจงมองเขาให้เหมือน เรากำลังมองตัวเราเอง     จงรักเพื่อน ให้เหมือนรักเรา  แค่นั้นชีวิตเราก็จะมีความสุข

ถือเป็นภาพยนตร์ที่ให้กำลังใจเพื่อนมนุษย์ผู้ตกยากได้เป็นอย่างดี  มันกินใจเหลือเกินสำหรับเรา 


คะแนน  A

เสียงเรียกในวันวาน The Case of Hana and alice

The Case of Hana and alice




(Japan,2015,Shunji iwaii)


" เสียงเรียกในวันวาน "


บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์


อบอุ่นและจับจิตอย่างมาก เรารู้สึกเหมือน ได้นั่ง time machine กลับไปตอนที่เราดู versionภาพยนตร์ เรื่องนี้แรกๆ มันสวยงาม และ ละมุนละไมไปหมด เสียงเปียโน ฉากที่ อลิซ เต้นบัลเลย์ฉากแรกก็ทำเราละลายแล้วหละ

อันนี้เป็น แบบฉบับ animation เอาจริงเนื้อเรื่องมันเป็น เรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน ภาค version นักแสดงจริงซะอีก 
พูดง่ายๆ มันคือ side story เล่าถึงความสัมพันธ์ของ คุณ อลิซ กับ ฮานะ ก่อนที่จะมาเป็นเพื่อนซี้ชมรมเต้นบัลเลย์ด้วยกัน
หนังดูเพลินดีจัง ลายเส้นการ์ตูนเราก็ชอบมาก มันยังมีความตลกน่ารักในแบบ comics high school ใสๆ อีก

การเปรียบเทียบพัฒนาการของตัวละคร ทั้ง hana กับ alice ในแบบภาคนักแสดง และ ฉบับ การ์ตูน
Alice

น้องอลิซแบบการ์ตูนนี่ เราไม่อยากเชื่อเลยว่า เป็นภาคนักแสดงแล้ว จะดูเรียบร้อยผิดหูผิดตา เพราะไอ้ version นี้ เธอโครตจะแสบ และร้ายหาตัวจับยาก มาก เตะต่อยและไม่ยอมคน
ถ้าเกิดว่าตามจริง อลิซในแบบนักแสดง 2004 อาจดูเหมือนจะเป็นตัวละครที่สามารถปรับสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ในโรงเรียนกลมกลืนกับเพื่อนได้ แล้ว ใจเย็นและอ่อนโยนขึ้น

Hana
ตัวละคร ฮานะ ดูลึกลับดีในตอนแรกๆ แล้วเราก็ค่อยๆหลังรักเธอ ใน version นักแสดง เรามองว่า เธอบุคลิกออกแนวเป็น พวก stalker แต่แรกๆแล้ว จะแอบชอบผู้ชาย พูดง่ายๆ เราว่ามันใจแตกกว่า อลิซนะ แต่เอาจริงคุณ ฮานะ นี่เรามองว่าข้างในจะดูเหมือนอ่อนไหว กว่า อลิซ ซึ่งเรามองว่าอลิซเธอดูแข็งแกร่งกว่า
รวมๆพูดเลยถ้าใครดูแบบ version หนังมา ดูการ์ตูนจะอินเป็นพิเศษเหมือนกับเรา แต่ถ้าใครไม่เคยดู version หนังมาก่อน มาดูอันนี้ก่อนก็เข้าทางไปอีกแบบเพราะเนื้อเรื่องมันเริ่มมาจากภาคการ์ตูนนี้แหละ

คะแนน A

ถ้าเราผ่านความกลัวไม่ได้ เราจะไม่เห็นความสวยงาม The Good dinosour

      The Good dinosour    



(U.S , Peter sohn ,2015 )


"ถ้าเราผ่านความกลัวไม่ได้  เราจะไม่เห็นความสวยงาม"  


บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์


เฮ้ย สนุกดีเหมือนกัน แถมกินใจเราพอสมควร มีน้ำตาร่วงด้วย แต่ไม่ถึงกับ แบบ inside out นะยังไมถึงเบอร์นั้น

พูดถึง theme หลักของหนัง คือ การก้าวข้ามผ้่านสู่วัย และ การสนับสนุนของ ความกล้าและความกลัว
ความกลัว (Fear ) ธรรมชาติของมนุษย์แล้วนั้น ความกลัวถือว่าเป็นอารมณ์นึงที่มีปฎิกริยาตอบสนองเราให้คิด รับรู้ว่า ต้องระวัง
ฉันจะทำแบบนั้้นไม่ได้ แต่ถ้ามนุษยชาติเราไม่มีความกลัวละจะเกิดอะไรขึ้น คงมีแค่ผู้กล้าเต็มไปหมด ไม่ก็วนเวียนแต่กับความตาย แน่นอนมนุษย์เราต้องตาย แต่ถ้าไม่มีความกลัวมนุษย์ก็อาจไปสู่ความตายก่อนวัยที่ควรจะเป็น

ความกล้า (Brave) คือ อารมณ์ที่ห้าวหาญของมนุษย์ที่เดินผ่านความกลัวไปแล้ว
ก้าวผ่านสิ่งนั้นไปได้ ฉันไม่กลัว มาสิ รอรับมือ แต่ว่าอารมณ์สองสิ่งของมนุษย์จะต้องมีสองอย่าง และไม่สามารถมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเดินแยกออกจากกันได้ กลัวได้แต่อย่าขี้ขลาด กล้าได้แต่ต้องมีสติ


ด้านงานภาพ พูดครงๆ ว่าสวยทุกฉาก
การดำเนินเรื่องเอาตามจริงมันเข้าไปในข่ายหนังเด็กเลย ไม่ได้ซับซ้อนและเหนือชั้นเหมือน inside out แต่ความเก่งหนัง pixar ช่วงๆหลัง สามารถทำลาย ความเปราะบางของอารมณ์คนดูได้ง่ายมาก พูดง่ายๆ คนดูจะรับรู้และรู้สึอินไปกับมัน บางครั้งตัวละครไม่ต้องพูดแต่ทำผ่านการกระทำสีหน้า ก็เพียงพอแล้ว
สิ่งที่ชอบหนังเล่าผ้านตัวหลักทั้งสอง ที่มุ่งให้ความสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธฺครอบครัว จุดนี้โดนใจเราเต็มๆ

คะแนน B+
                            

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กุ้งยักษ์ผู้รักนิรันดร์ Lobster

 Lobster  



(Greece,2015,Yogros Lanthimos )



กุ้งยักษ์ผู้รักนิรันดร์  



บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์

ลกของผู้กำกับคนนี้คงเป็นโลกที่แปลกประหลาดและโหดร้าย และคงไม่มีใครอยากที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกของเขา
Yorgos Lanthimos ผู้กำกับหนังชาวกรีก ที่ผุดหนังสุดเพี้ยน อย่าง dog tooth เมื่อหลายปีก่อน จนสร้างชื่อในเวทีคานส์มาแล้ว มาคราวนี้แกยังคงจิกกัดเย้ยหยัน ได้เจ็บแสบเหมือนเดิม ว่าแต่ความดิบคงไม่เท่าเรื่องก่อน ยังมีความโรแมนติกผสมไว้ด้วย เอาจริงเราชอบเรื่องนี้มากกว่า รู้สึกว่า บรรยากาศสภาวะ แวดล้อมตัวละคร ไม่ได้ถูกจำกัด space ไว้จนมากเกินไปเหมือน dog tooth เรื่องก่อนอึดอัดมากไม่ชอบเลย

สิ่งที่ต้องชมคือการแหวก concept หนัง แบบการตั้ง rule ขึ้นมาเท่ๆ โรงแรมนี้หาคู่ให้คุณนะ เรามีเวลาให้ท่านประมาณนึง ถ้าหาไม่ได้ ท่านก็ต้องถูกแปรสภาพเป็นสัตว์ ตามที่คุณเลือก เออเว้ย เราว่าหนังมันเจ๋งตรงนี้ ไม่ค่อยมีใครคิด และ rule ในหนังที่บอกกับตัวละครต้องทำ ตามแบบนี้ แบบโน้นนะ มันไม่ได้แบบว่า ตายตัวเหมือนพวก battle royal หรือเรื่องอื่นๆ ที่คนดูคงจะเดาได้ว่า เป็นการ set โลกของการสู้กันเพื่อนอยู่รอด คนชนะคือคนอยู่รอด
แต่ตรงนี้ไม่ใช่ หนังมันสามารถพาเราไปไกลกว่านั้น

ความโสดถูกหยิบยกเอามาเล่น ไม่ได้เอามาเล่นในบรรยากาศแบบหนังหว่องนะ แต่ lobster เป็นการชิงชังความเหงา สิ่งที่เป็นคี่ ต้องการจิกกัด คนเหงามากกว่า พูดง่ายๆว่า ต้องการว่า คนไม่มีคู่ เป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ไม่มีค่าพอที่จะเป็นมนุษย์ได้ ต้องเป็นแค่สัตว์ ตรงนี้ฉุกคิดดูแล้วมันสะเทือนใจอยู่พอสมควร พระเอกอยากเป็น lobster นั่น เดาว่า การเปรียบ สัตว์ lobster คือกุ้งยักษ์ มีเซล์เดียว ฆ่าไปอาจไ่ม่เจ็บ ถ้าเจ็บก็น้อยมาก ไม่เหมือนพวกสัตว์ใหญ่ พูดง่ายๆอยากแปรสภาพเป็นพวกสัตว์ไม่มีหัวใจ ไม่อยากรับรู้ความเหงาต่อไป ตรงนี้เราเดานะ แต่ความไม่แฟร์ที่คนโสดเกลียดหนังเรื่องนี้ตรงที่ว่า ทำไมหนังต้องเอาความโสดมาเล่น ทำไมโสดจะมีความสุขไม่ได้ ต้องมีคู่ตลอดเหรอ ตรงนี้เราว่าแล้วแต่คนจะมอง แต่เราว่า ผู้กำกับคนนี้คงจะมองอะไรร้ายๆพอสมควร บรรยากาศแปลกๆก็โผล่มาให้เห็น เช่นฉาก ที่พวก คนเหงาเต้นรำกลางป่า


ตัวละคร พระเอกมาเล่นบทนี้ เป็นชายเหงาๆ หน้าตาย ตรงนี้เราว่าตอบโจทย์บรรยากาศ plot มาก ตรงนี้เราว่าผู้กำกับเลือกคาแรกเตอร์เหมาะ พูดน้อยๆ แต่ให้เรารู้สึกเอง
สรุปชอบมากกว่า dog tooth เท่าตัวเลย

คะแนน  A

จำเลยสังคม Dressmaker

    Dressmaker



(Australia,Jocelyn Moorhouse,2015)

"จำเลยสังคม"  


บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์



หนังสนุกมาก บรรยากาศคล้ายๆ พวกละคร หลังข่าว จุดนี้มันทำให้เราสนุกเหมือนกำลังนั่งดูละครอยู่ที่บ้านจริงๆ แล้วก็ลุ้นไปด้วย มีพวกตัวอิจฉา นางเอกเป็นจำเลยในสายตาคนในหมู่บ้าน เสื้อผ้าหน้าผม ก็พาให้เรานึกถึง พวก เรือนริษยา verson ฝรั่ง มีไอ้พระเอกหน้าหล่อมาปกป้อง อีนางเอกหน้าสวย มีคนก็รุมๆ ด่าว่า นางเอง นางก็ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แบบนี้เลย แต่เราชอบวะ มันดูน้ำเน่าๆ แต่โดนเรา


ในแง่ศิลป์ทางภาพบยนตร์เรายอมรับ หนังเรื่องนี้ต้องการให้คนดูแค่รู้สึกสนุกปกติ จึงไม่ได้มีคุณค่าทางศิลป์เท่าไหร่ ผมว่ามันไม่ค่อยมีอารมณ์เหมือนภาพยนตร์นัก เหมือนซีรี่ย์ ละครพวกนี้มากกว่า
ตัวละครมันมีความชุลมุนชุลเก คนทุกคนรู้จุกกันหมดในหมู่บ้าน
อียายแก่ (แม่นางเอก) ก็เล่นเพี๊ยนๆ ตลกๆ เราชอบตัวละครตัวนี้มาก บางทีมันก็น่าหมั่นไส้ บางทีมันก็แบบตลกดูไม่มีกาลเทศะ บางที่ก็ทำเป็นแม่ซึ้ง ๆ จะเรียกน้ำตาเรา แต่ให้รู้ไว้เถอะ กูชินกับบุคลิกเพี๊ยนๆมึงไปแล้ว 555


ความไม่สมเหตุสมผลในบางอย่างกมีให้เห็นบ้าง ทำไมตัวละครตัวนี้ถึงเกลียดอีนี้เกินไป ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมันไม่น่าจะขนาดนั้น
แต่โดยรวมถือว่าหนังสนุกเลยครับ ใครชอบพวกละครหลังข่าว เข้าทางแน่


คะแนน  B+

ย้อนรอยประวัติศาสตร์การไล่ล่า The revenant

The revenant


 ( U..S, Alejandro González,2016)


"ย้อนรอยประวัติศาสตร์การไล่ล่า"


บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์


หนังพาเราไปเห็นสัญชาตญาน ของมนุษย์ การเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัว ความหวาดกลัว และความกล้า ต่างๆ ทั้งหมด
มนุษย์เราอาจจะแตก่งจากสัตว์นิดนึงตรงที่ สัตว์ใช้ สัญชาตญานในการตัดสินใจทำอะไรประมาณแทบจะร้อยเปอร์เซ็น
มนุษย์ ใช้สัญชาตญานในการตัดสินใจประมาณ 70-80 เปอเซนที่เหลือคือ พวกสำมัญสำนึก ความรู้สึกต่างๆ ที่พระเจ้าให้มาพิเศากว่าสัตว์ มนุษย์บางจำพวกก็ไม่ต่างจากสัตว์ นึกจะล่าก็ล่า เห็นแก่ตัวเอาตัวรอด ฆ่าได้แ้กระทั่งพวกพ้วงตัวเอง ซึ่งสัตว์บางจำพวกยังดีกว่าเลย


เราว่าหนังมันค่อนข้างจะดูน่ากลัว เรารู้สึกว่ามันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วย ภัยอันตราย เราสามารถเห็นบางสิ่งที่ บรรยากาศของหนังไม้ต้องเตือนเรา ฉากสถานที่ต้องยอมรับ ว่าค่อนข้่างจะ world class เพราะถ่ายจาก real location ฉากน้ำ ฉากแสงในป่า งดงามเหลือเกิน เอาจริงๆก็คือเรากำลังนั่งดูบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ การล่าเผ่าพันธ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฉากที่คุณ ลีโอนาโด ควักตับม้าสดๆ เพื่อเอาตัวเองเข้าไปในนั้น เห็นแล้วแบบว่า ฉากไอ้ตรงธนูนี่ก็ดูสะดุ้งโหยง เหมือนเราโดนแทน555

คะแนน B+

เรียนรู้ และ เติบโต The Diary of teenage girl

  The Diary of teenage girl



((U.S Marielle Heller,2015)

  "เรียนรู้ และ เติบโต"   


บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์

หนังอินดี้เล็กๆ จากเทศกาล sundance แต่ทำได้ดีมากในด้านงานภาพ 
เสน่ห์ของมันคือ การวาดภาพออกในในลักษณะ ลายเส้นการ์ตูน และการเล่าเรื่องแบบ monologue ของคุณนางเอกผสมๆ คล้ายๆกับ การพาเราไปอ่านไดอารี่ ของเด็กผู้หญิงอายุ 15 ทำตัวแก่แดดแก่ลม วันๆ นั่งคิดแต่อยากจะโตเป็นผู้ใหญ่และ การมีเซ็กทุกวันเป็นสิ่งที่เธอปารถนา

วัย - วัยรุ่น เป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลง ทางร่างกายและอารมณ์ วัยที่สับสน วัยแห่งการค้นหา วัยแห่งการทดลอง และเป็นวัยที่เรียกร้องให้คนรอบข้างมาสนใจตนที่สุด วัยที่ต้องการพื้นที่ของตัวเองมากที่สุด
มินนี่ ตัวละครนางเอก เป็นมนุษย์วัยรุ่น ที่เอาสภวะอายุ อารมณ์ ความต้องการ ของตัวเอง ถลำสู่โลกของ sex อย่างเต็มตัว วันๆ she จะคิดอย่างเดียวคือ เรื่องบนเตียง ถามกลับมาหนังทำไม ดันเสนอ ภาพ มนุษย์วัยรุ่นผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มานำเสนอค่อนค่างแรง หรือว่ามันดูไม่เหมาะกับ อายุที่หนังกำหนด แล้วมาเล่นบทแบบนี้ ถามกลับไป ว่า สภาพสังคมในความเป็นจริง วัยรุ่นฝรั่งนั้นเรื่องแบบนี้ถือว่าปกติ
การเลียนแบบ (imitate) ลูกสาวถ้าเกิด ว่าพ่อหรือแม่ กระทำสิ่งๆหนึ่งให้ลูกเห็นบ่อยๆ ลูกจะนำเอาพฤติกรรมเหล่านั้นไปลอกเลียนแบบ

ในหนัง แม่ วันๆนั่งขลุกอยู่แ่ขวดเหล้า สูบบุหรี่ พาผู้ชายเข้าบ้าน นางเอกจึงซึมซับ
สภาวะความกดดัน ต้องการเปลี่ยนคนหนึ่งไปเป็นอีกคน นางเอกเธอเล่าว่า เป็นลูกเป็นขี้เหร่ เห็นแม่มีเสนห่์ เธอต้องการให้ผู้ชายเข้ามารัก และเป็นเหมือนแม่ เพื่อที่เธอนั้นจะไม่ได้มองว่าไร้ค่าอีกต่อไป จนบางครั้งเธอก็ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่เธอทำกำลังทำลายระบอบศีลธรรม แม่ -ลูกอยู่
รวมๆหนังดูเพลินๆ ไม่ซับซ้อน มีการเล่นเปลี่ยนอารมณ์ การ์ตูนลายเส้น เก๋ไก่ พอตัว แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้มีจุดหักมุมหรือซึ้งแต่อย่างใด

คะแนน  C+



วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เส้นทางนี้ มีใครบางคนยืนรอฉันอยู่ Booklyn

Booklyn 



( Ireland, 2015, John Crowley )


" เส้นทางนี้ มีใครบางคนยืนรอฉันอยู่ " 


บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์


โห งดงามมหาศาล หนังไอร์แลนด์ที่เข้าชิงออสการ์     ผู้กำกับสามารถพาหนังรักธรรมดาให้ถึงจุดที่  เป็นหนังที่ค่อนข้างปรานีต ละเมียดละไมด้วยอารมณ์และบรรยาากศ  


เรื่องของ หญิงไอริช นางหนึ่งที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปใช้ชีวิตใน booklyn อเมริกา ไปเรียนบัญชี และ ระหว่างที่นางอยู่ที่นั่น ก็ทำงาน part time ร้านเครื่องประดับ ไปเจอ ไอ้หนุ่มอิตาลี่ ที่งานเต้นรำชาวไอริช ทั้งสองก็สานรัก คบกัน

เวลาและการเติบโต  

ชีวิตคนเราไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นวันข้างหน้า รู้อย่างเดียวคือใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุขทุกวัน 
ถ้ามีสิ่งผกผันสิ่งนั้นเรียกการเปลี่ยนแปลง  นางเอกเป็น เด็กสาวปกติ  เธอไม่คิดว่าชีวิตของเธอสุดท้ายแล้วจะนำเธอสู่ความสมบูรณ์สุข มีการเรียนที่ดี  มีแฟนที่รักเธอ   แต่ให้เชือไว้เถอะว่าวันข้างหน้าคือ หนทางบอกเรา  แค่มีความสุขในปุัจบันคือสิ่งที่คนเราควรจะมี  

ชอบ  การที่เล่าเรื่องผ่านภาษาทางจดหมายระหว่างพี่สาวนางเอกกับ นางเอก ตรงนี้เราก็อิน 

หนังมันก็จะพูดถึงการแยกจากกันของ ชีวิตครอบครัวนางเอก ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เวลาระยะทาง สิ่งที่เธอต้องเรียนรู้และปรับตัวเวลามาอยู่ในอเมริกา ทำให้นึกถึง leaving on 15 th spring หนังเทศกาลญี่ปุ่นเมื่อสองปีที่แล้ว ที่มีเส้นเรื่องและอารมณ์คล้ายๆกัน
อีกด้านหนึ่งทำให้เราเห็นชีวิตที่น่าสงสารของ ของชาวไอร์แลนด์ ฉากที่นางเอกต้องไปตักอาหารดูแล พวกคนจรจัดไอริช ที่กลับบ้านไม่ได้ ตรงนี้ทเราสะเทือนใจพอสมควร
จุดโรแมนติกของหนังก็ทำได้สวยงามและชวนฝันดีจัง เหมือนเราได้นั่งอ่านนิยายรักหนุ่มสาวตางถื่นหลงรักกัน แล้วนั่งกินขนมอร่อยๆในบ่ายวันหยุด มันช่างมีความสุขดีจัง


คะแนน A


ความย้อยแย้งทางเพศภาพ The Denish girl

The Denish girl 



    " ความย้อนแย้งทางเพศภาพ "

(Denmark,2016,Tom hooper)



บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์

เพศภาพ คือ สิ่งที่บ่งบอกตัวตนของมนุษย์ คือสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดมา ไม่มีใครที่จะปลดแอกหรือหนีสิ่งๆนั้นได้ สิ่งที่ทำได้คือการยอมรับกฏการกำเนิดเพศ และดำรงชีวิตต่อไป
สิ่งที่ต้องชมอย่างแรกคือการแสดงที่โครตทรงพลังของ คุณพระเอก
สีหน้าแววตา ได้หมดเลย มันเก่งมากเราว่า ไม่ง่ายที่จะจริตได้ถึงขนาดนั้น เรานึกถึง ตอนที่แกเล่นTheory of everythng ที่เล่นป่วยๆ แต่ถึงอารมณ์คนดู ไม่ใช่ป่วย เล่นแย่นะ แต่ที่บทแกเป็นคนป่วย ไอ้หมอนี่มันเทพมากด้านการโชว์สีหน้า
ฉากหลังคือ เมืองโคเปเฮเกน เดนมาร์ค ที่ช่างสวยเหลือเกิน มีพวกเรือสำเภา เหมือนพวกเมืองท่า เราอยากหลุดไปอยู่ในยุคนั้นจัง รู้สึกว่าเครื่องประดับ ของใช้ต่างๆมันงดงาม บรรยากาศหรูหรา ดี ชุดนักแสดง ภาพวาดในเรื่องเราสะดุด เพราะมันสวยจริงๆ
การเล่าเรื่องเรารู้สึกว่า เราไม่ได้อินอะไรมากกับ เรื่องนะ มันพูดถึงคู่สามีภรรยา ที่วาดรูป เกิดวันหนึ่ง ผัวดันมาผิดเพศ แต่หนังดันบอกแต่งงานมา 6 ปีแล้ว ทำไมเพิ่งมารู้สึก หรือนางรู้นานแล้วแต่เพิ่งมาฟูมาฟาย มันดูแปลกๆ จุดนี้ หนังก็ดำเนินเรื่องไป ตามครรลอง ที่ตัวละครอยู่ในช่วงสับสน กระอักกระอ่วนในบางอย่าง แต่บอกไม่ได้ ความรู้สึกของหนังคอการล๊อคคนดูตลอดเวลาว่ากูต้องการจะสื่อแบบนี้นะ มึงต้องอดทนไปเรื่อยๆ มันจึงเกิด เส้นระนาบตรง ที่ไม่ได้นำพาเราไปไกลมาก มันมีแค่จุดฉุกคิดตรงที่ เมื่อชีวิตนึงที่ธรรรมชาติให้มาไม่ถูกต้อง มันก็ถึงเวลาที่ชีวิตนั้นจะโดนลบร้างหายไป จุดนี้เราใจหายเหมือนกัน ความรักเกิดได้ตลอดไม่ว่าเพศไหน สิ่งที่สำคัญสุดคือการดูแลซึ่งกันและกัน มันก็จะมีบางตรงให้เราคิดบ้าง เมื่อความไม่ยุติธรรมในบางอย่างดันเกิดมา มันเปนปกติที่ต้องหาทางออก ไม่ใช่ปล่อยไป
ความรืนย์รมของหนังนั้นมีน้อยมาก มีแค่ตอนแรกๆ สีหน้าแวตาเปื้อนยิ้มประหลาดๆ ของ คุณพระเอก แต๋วแตก นอกนั้นหนังแทบจะซีเรียสจริงจัง ขมขื่น อึดอัด
แต่โดยรวมเราว่าหนังมันค่อนข้างจะพิถีพิทันในด้านงานโชว์ ฉาก และ การแสดง

คะแนน  C+

รักสลาย ไม่ได้แปลว่า โลกดับสูญ Be with Me

   Be with me  






"รักสลาย ไม่ได้แปลว่า โลกดับสูญ "

(Singapore,2005, Eric koo)

บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์



ขออยู่กับเธอจนชั่วนิรันดร หลังจากผมได้ดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว บอกได้คำเดียวคุ้มค่าจริงๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้

ได้อะไรหลายอย่างจากหนัง  คนเราเกิดมาบางครั้งก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กันละอยู่ด้วยกันตลอดไป เพียงแค่อาจเคยมีช่วงเวลาที่ดีต่อกันก็เท่านั้น    Be with me ถ่ายทอดเรื่องราวของ คู่รักสามคู่ ซึ่งเป็นความรักที่สุดท้ายแล้วไม่สมหวัง  ผ่านตัวกลางของเรื่อง คือ หญิงสาวตาบอดที่ชื่อว่า เทียเรยร์ซ่า เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมเรื่องราวไว้ทั้งหมด   1  ความรักของสองสาวเลสเบี้ยน ที่พบกันบนโลกของอินเตอร์เน็ต แล้วส่งข้อความหากัน แล้วนัดเจอกัน สุดท้ายแล้วเมื่ออีกฝ่ายไปมีคนใหม่ อีกฝ่ายก็ผิดหวังอกหักพยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดที่แทงค์น้ำสูง    ความรักของ ยามอ้วน ที่มีต่อหญิงสาวสวย  เป็นรักที่แอบรักอยู่ข้างเดียว แอบมองเธอผ่านกล้องวงจรปิดอย่างมีความสุข โดยตัวเธอไม่เคยรู้เลย  แต่ยามอ้วนพยายามที่จะบอกความในใจโดยการเขียนจดหมายส่งให้เธอ    สุดท้ายความรัก ของตาแก่ กับ หญิงชราที่เปิดร้านขายของชำมานานหลายปี  หญิงชราแก่ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตาแก่ต้องทำหน้าที่ดูแลเธอ ทั้งป้อนอาหารให้ ทำกับข้าวให้ เกือบทุกอย่าง  ตัวละครเกือบทุกตัวเชื่อมเรื่องราวไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่อยู่ในคนละที่ ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน  หนังเรื่องนี้ผู้กำกับฉลาดตรงที่ เขาเอาบุคคลซึ่งในสังคมแล้ว จะไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมทั่วไป ก็คือ คนแก่ หญิงสาวผิดเพศ และ ชายอ้วนที่มีรูปร่างขี้เหร่   โดยปกติแล้วล้วนแต่เป็นบุคคลที่ถูกละเลยจากสังคม มาเล่นในหนังเรื่องนี้ สะท้อนมุมมองว่า พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถมีความรักได้ แม้แต่สุดท้ายแล้วจะไม่สมหวังก็ตาม  พวกเขาก็มีหัวใจเหมือนกับคนประเภทอื่นๆ นั่นแหละ  แล้ว เรื่องนี้จะสังเกตได้ว่า เต็มไปด้วยการสื่อสารที่ใช้แทนคำพูดเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การพิมพ์ดีด การเขียนจดหมา ย พิมพ์ข้อความ ภาษามือใบ้  แม้กระทั่งการอ่านหนังสืออักษรเบลล์  ก็ตาม


หนังเรื่องนี้เวลาดูแล้ว แทบจะไม่มีบทสนทนากันเลย มีเพียง ซาวแทรกประกอบคลอบรรเลง ทำให้หนังดูแล้วเหงา ลึกซึ้ง อย่างบอกไม่ถูก  การเดินเรื่องค่อนข้างเอื่อยเฉื่อยในหนังเรื่องนี้ อาจจะดูน่าเบื่อไปบ้าง  แต่ผมไม่อยากให้คุณคิดแค่นั้น   ลองเปิดใจดูจนจบก่อนแล้วคุณจะหลงรักหนังเรื่องนี้ไม่ยาก

คะแนน  B+

โลกในความฝัน ยังคงสวยงามเสมอ Lilly chou chou


                                                            Lilly chou chou 


                                                 

"โลกในความฝัน ยังคงสวยงามเสมอ"


( Japan,2001, Shunji iwaii)



บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์ 


"ภาพในโลกแห่งความฝันที่แสนสวยงาม  กับ  ภาพในโลกแท้จริงอันแสนโหดร้าย 
มันช่างดูขัดแย้งเสียเหลือเกิน    การมีชีวิตนั้นอยู่เหมือนฝันร้าย
มีเพียงสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงชีวิตของ ยูอิจิ ได้คือ บทเพลงของ lilly chou chou 
มาเข้ามาเข้ามาในดินแดนแห่งความฝัน ทุ่งหญ้าสีเขียวที่พร้อมจะกล่อมให้ทุกคนได้หลับใหลและล่อง
ลอยไปกับมัน.
ถ้าฉันจะขอยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนจะได้ไหม   ฉันไม่อยากที่จะไปเผชิญโลกสีเทา โลกที่เต็มไปด้วยปัญหา เรื่องเลวร้าย เกินกว่าจะรับได้   ฉันอยากที่จะให้บทเพลงของเธอเสกฉันให้ล่องลอยหายไปในดินแดนแห่งนี้  

นั่นคงคือความรู้สึกภายในจิตใจของ ยูอิจิ  ตัวละครเอกในเรื่องนี้

ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้เขียนเล่าถึงหนังเรื่องนี้คงจะนอนไม่หลับเป็นอย่างมาก  หนังเรื่องที่ผมคิดว่าดีที่สุดตั้งแต่ผมเคยชมภาพยนต์เอเชียมาทั้งหมด  ทั้งซาวแทรค หรือเรื่องราว  มุมกล้องทุกอย่างทำได้ลงตัวมากทุกๆวันนี้บทเพลงของ salyu ยังคงหลอกหลอนเข้าไปในจิตใจผม ทุกครั้งที่ได้ดูหรือฟังเพลงประกอบของหนังเรื่องนี้คล้ายราวกับตัวผมโดนต้องมนต์ไม่ให้ไปไหน ตกอยู่ในห้วงภวังค์ของมัน  มันช่างมีมนต์ขลังจริงๆ   ท่วงทำนองมันสวยงาม หลอกหลอน มีพลัง เคว้างคว้างล่องลอย  อย่างบอกไม่ถูก   มาเข้าเรื่องดีกว่า    การเปรียบโลกทั้งสองด้านที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง    โลกในความฝันที่สวยงามเหมือนสวรรค์  โลกในจินตนาการ  (Utopia)  โลกที่จิตถูกปรุงแต่งขึ้น โลกสมมุติ  โลกที่ถูกพลังแห่งบทเพลงของลิลลี่บัลดาลขึ้น โลกที่ไม่มีอยู่จริง  กับ โลกความเป็นจริง  (Reality ) ที่เหมือนตกนรกทั้งเป็น
โลกที่เลวร้าย  ในชีวิตจริงที่ต้องเผชิญ   หนังเล่าเรื่องราวสะท้อนสังคมด้านมืดของ เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ที่ เข้าสังคมไม่ได้ มีปัญหากัน ทะเลาะกัน แก่งแย่ง   ขาดการเอาใจใส่ มีปัญหา มีเพียงแค่สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเขา คือบทเพลงของ lilly  บทเพลงแห่งอีเทอร์ท่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขาทุกวัน  หนังพูดถึงยูอิจิ ที่เคยมีชีวิตเหมือนกับเด็กปกติทั่วไปๆ มีเพื่อน เข้าสังคมได้ แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ๆ ฮิโรโนะ ตั้งตัวเป็นขาใหญ่ รังแก หรือ กลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า อาจเป็นเพราะผลกระทบในจิตใจที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นพวกเด็กเกเรไป  ปัญหาธุรกิจในครอบครัวล้มละลายพระเอกก็ต้องคอยเป็นลูกไล่  อยู่ในกลุ่มเพื่อนเด็กเกเร โดนกลั่นแกล้งสารพัด ชีวิตเหมือนตกนรก ไม่มีความสุข  โลกของความฝันพระเอกเป็นเจ้าของเว็ปไซต์  แฟนคลับของ ลิลลี่  ยูอิจิ ตั้งตนเป็นฮีโร่ในเว็บไซต์ พวกเขามีคนเข้ามาคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับลิลลี่ อยู่มากมาย ทำให้เขาลืมความโหดร้ายในโลกความเป็นจริง หนึ่งในนั้นก็คือฮิโรโนะ ที่เป็นสาวก ลิลลี่ อีกด้วย  โดย ยูอิจิ ใช้นามแฝงว่า  ฟิลเลีย   ส่วน ฮิโรโนะ ใช้ชื่อว่า blue cat แมวสีฟ้า

ยิ่งเขาจมอยู่ในโลกของความฝันมากเท่าไหร่ โลกความจริงก็ยิ่งโหดร้ายมากขึ้นเท่านั้น   ส่วนตัวละครอีกสอง คน คือ คุโนะ  สาวน้อยนักเปียโน เรียบร้อย แต่วันหนึ่งถูกทำร้ายทางจิตใจ ทำให้ชีวิตเธอต้องเปลี่ยนไป
กับ  ทะสุดะ (ยู อา โอ อิ สาวน้อยที่ถูกบังคับขายบริการทางเพศตั้งแต่เด็ก  ตัวละครทั้งหมดในเรื่อง ล้วนแต่มีปัญหาในจิตใจทั้งหมด
All about lilly chou chou จะว่าไปมันก็คือหนังที่เล่าปัญหาวัยรุ่น โดยหยิบเอา ช่วงวัยอายุช่วงหนึ่ง คือ  ม 3   ประมาณ  14-15 ปี เป็นช่วงที่อารมณ์ กำลังพลุ่งพล่าน อ่อนไหว  อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ก้าวเข้าสู่อีกวัยหนึ่ง
แล้วปัญหาที่พบในหนังเรื่องนี้ทั้งหมด ส่วนใหญ่มันก็เกิดขึ้นบ่อยๆ และเห็นกันอยู่แทบจะทุกวัน   ไม่ว่าจะเป็น  ทะเลาะกัน
ชิงทรัพย์  ลักเล็กขโมยน้อย  ข่มขืน   ฆาตกรรม หรือ การฆ่าตัวตาย คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังไม่ได้พูดถึงเรื่องไกลตัวเลย และเลวร้ายเกินไปกว่าคนดูจะรับได้  เนื่องด้วยหนังใส่ฉากที่แสนสวยงาม ราวกับภาพวาดในอุดคมคติ อยู่หลายฉาก  เพลงประกอบในหนัง ล้วนทำให้คนดูคล้อยตามไปกับมัน 
ฉากที่ผมชอบที่สุดคงจะเป็น ฉากเปิดตัวของหนังที่ เราจะเห็น ยูอิจิ ยืนฟังเพลงกลางทุ่งหญ้าสีเขียว
ฉากที่หลอนที่สุด คงเป็นฉาก ที่ ทะสุดะ ยืนเล่นว่าว อย่างมีความสุข   แล้วตัดมาอีกที เธอได้ฆ่าด้วยการโดดตึก  


การตายของ ทะสุดะ (ยู อา โอ อิเชื่อมโยง กับ บทเพลง Glide ยังไง


หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมฉากที่ ยู อา โอ อิ ยืนเล่นว่าวอยู่อย่างมีความสุข   แล้วจู่ๆ ทำไมถึงโดดตึกตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
หนังตัดฉากกลับมา เพื่อหลอกหลอนผู้ชม  ในความคิดผมมองว่า น่าจะเกิดจากปัญหาในจิตใจของเธอ ที่ภายนอกดูเหมือนจะร่าเริงแต่จริงแล้ว ซ่อนบาดแผลไว้ในใจ   กับด้วยอารมณ์ที่แปรปวนของเธอก็เป็นได้  ทำให้เธอทำอะไรไม่คาดฝัน
ผมมองไปถึง ลักษณะของการเล่นว่าว  ว่าวจะขึ้นลงตามลม เปรียบเหมือนอารมณ์ของเธอที่แกว่งไกว อ่อนไหว พร้อมที่จะขึ้น หรือ ตกได้ตลอด   แล้วคำว่า glide ก็แปลเป็นไทยว่า  ร่อน แกว่ง   เมื่อว่าวภายในจิตใจของ ทะสุดะ ตกลง  มันเหมือนกับการตกลงสู่พื้น นำไปสู่การตายในที่สุด  แล้วก็ในหนังเราจะเห็นฉาก ที่ ทะสุดะ ขึ้นไปบนระเบียงตึกอยู่บ่อยๆ  ก็เป็นได้  แล้วมีฉากที่ ทะสุดะพูดว่า  I want fly on sky  ฉันอยากที่บินบนท้องฟ้า  อาจนำไปสู่การอยากกลับไปเกิดใหม่เป็นนกก็เป็นได้ เลยตัดสินใจโดดตึกลงมา 



การปลิดชีพ  blue cat  

เจ้าแมวสีฟ้า ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องกลับไปเกิดใหม่แล้ว  .  ฟิลเลีย บอก

ฉากคอนเสิรตของ lilly chou chou  เป็นการพบกันของ ฟิลเลีย ยูอิจิ  กับ  Blue cat ฮิโรโนะ  หนังเฉลยมาว่าเขาทั้งคู่ก็เป็นสาวกเพลงของ ลิลลี่ เหมือนกัน แถมยังตอบอีเมล์ในอินเตอร์เน็ตระหว่างกันเกี่ยวกับศิลปินที่เขาทั้งสองรัก blue cat มอบแอปเปิ้ลสีเขียวบอกให้รู้ว่าเขานี่แหละ คือ แมวสีฟ้า
ก่อนที่ ดวงวิญญาณของ ฮิโรโนะ  (Blue cat ) จะถูกปลิดชีพโดย  ฟิลเลีย ยูอิจิ 

หลายๆประเด็นในหนังเรื่องนี้ ล้วนน่าสนใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น เกาะสวรรค์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของ  ฮิโรโนะ ไปตลอดกาล
การที่คุโนะ ถูกรุมโทรมข่มขืน แล้วอัดวีดีโอ  ทั้งหมดบรรจุอยู่ในหนัง 2 ชั่วโมงครึ่งทั้งหมด


All about lilly chou chou คือหนึ่งในผลผลิตหนังชั้นดีของ ชุนจิ อิวาอิ    ที่ถ่ายทอดออกมาได้ เศร้าหมอง หม่น แต่ด้วยฉาก เพลงประกอบ อะไรหลายอย่างที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลับสวยหมองอย่างประหลาด  ผมเชื่อเลยว่าหนังเรื่องนี้ได้เข้าไปอยู่ในใจของใครหลายคน รวมทั้งผมด้วย


คะแนน A