วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมื่อความรักมีวันหมดอายุ Chungking express



Chungking express 





"เมื่อความรักมีวันหมดอายุ "

(Hong kong ,1994, Wong ka wai )




บทวิจารณ์  และ วิเคราะห์



จะทำอย่างไรเมื่อความเหงาเคลื่อนตัวเข้าหากันโดยบังเอิญ
คุณเคยเป็นไหมทีเจอใครอีกซีกโลกหนึ่งที่มีความเหงามาเป็นเพื่อน
ถ้าเจอแล้วมันคงเป็นความเหงาที่สุดแสนจะโรแมนติก แต่สำหรับ Chungking express  คงเป็นความโรแมนติก ที่ดูจะประหลาดๆ หน่อย  อาจด้วยการแสดงออกของตัวละครในเรื่องทั้ง
 4 คน  ล้วนทั้งหมดเป็นบุคคลแปลกแยก โดดเดี่ยว



หนังเล่าเรื่องราวของคนเหงาๆ 2 คู่  คู่แรกหนังจะพาไปพบกับ ความรักของหญิงสาวผมทองเอเยนต์ ค้ายาเสพติด กับ ตำรวจหนุ่มที่โดนแฟนสาวบอกเลิก แล้วชายหนุ่มก็ซื้อสับปะรดกระป๋องที่มีวันหมดอายุ มากินเพื่อรอเธอกลับมา  เป็นเวลา 1 เดือน แต่แล้วเธอก็ไม่กลับ
คู่ที่ 2 เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในย่าน chungking  สาวผมสั้นร้านอาหารฟาสฟูด กับ ตำรวจหนุ่ม
ที่โดนแฟนสาวบอกเลิกเช่นกัน
เท่าที่ผมดูหนังเรื่องนี้ผมว่ามันเป็นหนังเหงาที่เท่ เรื่องหนึ่ง การจับตัวละคร 4 คน มาอยู่ในเรื่องราว ทั้งที่ทั้ง 4 มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทั้งหมด แต่พวกเขาถูกความเหงา มาเชื่อมโยงเอาไว้ 
การเล่นความหมายเปรียบเทียบนิสัยพฤติกรรมของตัวละครตำรวจสองคน ของหนังถือว่าทำได้ดีเอามากๆ 


คนหนึ่งเปรียบเทียบความรัก กับ การหมดอายุ ว่าทำไมของทุกอย่างบนโลกใบนี้มันต้องมีวันหมดอายุด้วย ไม่เว้นแม้แต่ความรัก   อีกคนหนึ่งมีพฤติกรรมประหลาดๆที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งเดิมๆ  สั่งอาหารเมนูเดิมๆ ชอบพูดคุยกับสิ่งของในคอนโดคล้ายคนบ้า  เพื่อทดแทนความเหงา หรือหลอกตัวเองว่าเธอยังไม่จากไปไหน  

การเปรียบเทียบความรัก กับ เมนูอาหาร ถูกเอามาเป็นประเด็นในหนังเรื่องนี้ด้วย
การที่ตำรวจคนที่สองถูกแฟนสาวบอกเลิก ด้วยเหตุผลที่ว่า  เธออยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง  แล้วตำรวจหนุ่มก็มักสั่งเมนูเดิมๆที่เธอชอบกิน คือ สลัดผัก แต่เจ้าของร้านอาหารดันบอกว่าทำไมไม่ลองเปลี่ยนเมนูอื่นบ้างเผื่อว่ามันจะได้ไม่น่าเบื่อ ก็เหมือนกับความรัก ในเมื่อเขากล้าที่จะเปลี่ยนรสชาติ ทำไมเราจะไม่ลองเปลี่ยนดูบ้าง
ซึ่งเป็นจุดที่ผมชอบในเรื่องนี้   


ตัวละครอีกตัวที่ผมจะพูดถึงคือ สาวผมสั้นร้านอาหารฟาสฟูด มันมีความประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เธอมักจะแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเธอแอบชอบตำรวจหนุ่ม
เปิดเพลง แล้วเต้นอย่างมีความสุขทุกครั้งที่เขามาซื้ออาหารในร้าน บางครั้งถึงขั้นสะกดรอยตามไปที่คอนโดที่ตำรวจหนุ่มพัก  เพื่อไปจัดสิ่งของในห้องให้เรียบร้อย
ผมว่ามันมีความโรแมนติกอยู่เอามากๆ เพียงแต่หนังเรื่องนี้มันมีวิธีการนำเสนอความโรแมนติกแบบอ้อมๆ  ไม่เล่าตรงๆ ผมว่ามันเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้  ครั้งแรกที่ผมดูผมไม่เข้าใจการแสดงออกของตัวละคร หญิงผมสั้นเอาซะเลย  แต่ดูรอบที่สองคือเข้าใจเลย
เพราะฉะนั้นผมมองว่าเสน่ห์ของ Chungking express  อยู่ที่การแสดงออกของตัวละครทั้งหมด ที่ล้วนใช้อารมณ์ความรู้สึกมากว่าเหตุผล แต่ถ้าใช้เหตุผลผมมองว่าเขาพยายามแสดงออกมาในเชิงเปรียบเทียบมากกว่าที่จะยอมเล่าตรงๆ


คะแนน A

















วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กรุงเทพมีหาง โดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง


 หมานคร Citizen dog




"กรุงเทพมีหาง"

(Thailand,2004,วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง)


บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์




บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนต์

หมานคร ภาพยนตร์ลำดับที่สองของ  วิศิษฎ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับหนังของไทยที่ได้ขึ้นชื่อในเรื่องของการให้สีสันที่ฉูดฉาด จัดจ้าน บนจอฟิล์มของเขา จากเรื่องที่แล้ว ฟ้าทะลายโจร แต่ผมไม่ได้ดูหนังเรื่องนั้นหรอก
มาดูเรื่องนี้ที่เดียวเลย  หนังเล่าถึงเรื่องราวของ ชายหนุ่มบ้านนอกเข้ากรุง มาเพื่อทำงานในกรุงเทพ แล้วก็ได้เจอกับหญิงสาวที่สวย ที่ชื่อ จิน  เป็นพนักงานทำความสะอาดตึกแถว  แล้วก็เกิดหลงรักเธอขึ้นมา ทำทุกอย่างเพื่อได้ใจเธอมาครอบครอง

ตัวละคร ป๊อด เป็นผู้ชายที่ไม่มีความฝัน  เขาเข้ามาทำงานที่นี่แบบเรื่อยเปื่อย  มักจะทำอะไรผิดพลาดอยู่ตลอด   ซึ่งต่างจากตัวละครที่ชื่อ จิน  หญิงสาวที่มีความฝันว่าอยากอ่านหนังสือเล่มสีขาว ซึ่งเป็นหนังสือภาษาอังกฤษออกเพราะหนังสืออาจจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ  แต่ด้วยเธอเป็นสาวบ้านนอกเหมือนกัน ทำให้อ่านหนังสือภาอังกฤษไม่รู้เรื่อง   


ซึ่งถ้าคุณมองแบบเผินๆ หนังเรื่องนี้อาจเป็นหนังรักสูตรสำเร็จดาดๆ ที่คุณหาได้ตามท้องตลาดเรื่องหนึ่ง
แต่มันไม่เป็นแบบนั้นแน่ งานของ วิศิษฐ์  ศาสนเที่ยง ได้ใส่ลูกเล่นการเปรียบเทียบในหนัง ถึงคำว่า หาง
ไว้อย่างดีเยี่ยม เขาจะสื่อถึง หาง  เปรียบเหมือน  ความฝันของคนเรา สิ่งที่มนุษย์ไขว่คว้าต้องการได้มันมาครอบครอง อาจจะรวมไปถึง ชื่อเสียง วัตถุ เงินตรา มากมาย  ซึ่งหนังก็ใช้ จังหวัดกรุงเทพ นี่แหละเป็น ตัวแทนของหนังเรื่องนี้ เนื่องจาก กรุงเทพ แทน เมืองแห่งความเจริญ ผู้คนในเมืองนี้แก่งแย่ง ใน หน้าที่ การงาน ความฝัน อวดร่ำอวดรวย ชื่อเสียง มากมาย เมืองแห่งความเร่งรีบ เมืองที่พร้อมจะถีบคนเราให้เดินไปพร้อมๆ กับเข็มนาฬิกาอยู่ตลอด เมืองที่มองถึง วัตถุนิยม มากกว่า สุขนิยม  หนังต้องการที่จะเสียดสีวิถีชีวิตของคนกรุงเทพ ว่า ทุกคนที่นี่ก็อยากที่จะมีหางกันทั้งนั้น อยากที่จะเด่นกว่าคนนู้นคนนี้ หรือ พิเศษกว่า ซึ่งลืมมองไปว่า แท้จริงก็คือคนเหมือนกัน ซึ่งต่างกับสังคมชนบทอย่างสิ้นเชิง


นอกจากเรื่องราวของหนังที่ต้องการจะเปรียบเทียบแล้ว  ผมมองจุดขายของหนังเรื่องนี้ก็คือ ภาพหรือฉากต่างๆ การให้สีของหนัง ที่ดูฉูดฉาด จัดจ้าน หรือ กราฟฟิกต่างๆ ที่ทำออกมาค่อนข้างเหนือจริง  หรือตัวละครในเรื่องตัวอื่นๆ ที่ย่อมแปลกประหลาดไปหมด ไม่ว่าจะเป็น  คุณยายในร่างจิ้งจก  ผีมอเตอร์ไซต์ ที่ตายกับฝนที่ตกลงมาเป็นหมวกกันน็อค  เพื่อนของเขาที่พบเจอสาวจีนบนรถเมล์เบียดกันจนได้เสียเป็นผัวเป็นเมีย   ตุ๊กตาหมีสูบบุหรี่ กับ เด็กสาวแก่แดด  รวมไปถึงชายโดยสารผู้ชอบเลีย   ทำให้หนังดูแปลกและน่าสนใจมากขึ้นไปอีก  รวมไปถึงมุขตลกต่างๆ  แต่ว่าหนังเรื่องนี้จุดขายไม่ได้เน้นไปที่ความตลกมันเลยออกมาเป็นมุขฝืดๆ ที่ได้ยิน


ผมชอบคำพูดใน หนังเรื่องนี้ ที่บอกว่า การกระทำทุกอย่างที่เธอทำบนโลกใบนี้  หลายเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะธรรมดา แต่มันกลับเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเขา  ผมว่ามันเป็นอะไรที่เท่เอามากๆ
จะว่าไปแล้วผมมองว่าหนังเรื่องนี้มันมีอารมณ์ความโรแมนติกซ่อนอยู่ ในเรื่องของ sound track ประกอบต่างๆ  


ฉากจบค่อนข้างดี ลงเอยไปด้วยการมีหางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของ ป๊อด พระเอกของเรา แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็คือบทสรุปดีๆของ หมานคร  เมืองของคนมีหาง


คะแนน A




วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ความอบอุ่นในจินตนาการของเจ้านกกระจอก OWL AND THE SPARROW


OWL AND THE SPARROW 




"ความอบอุ่นในจินตนาการของเจ้านกกระจอก"  
                                                                                                                                                                                (Vietnam,2007,Stephene Gauger )



บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์

จ้านกกระจอกน้อยผู้น่าสงสารนั่งมองท้องฟ้าตอนกลางคืนอย่างเดียวดาย เจ้านกกระจอกกำพร้าพ่อและแม่  เจ้าอยากที่จะบินไปให้ไกลกว่านี้ใช่หรือเปล่า  บินไปหาอิสรภาพและความสุขใจในทางข้างหน้า ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอะไรบ้าง มีภัยอันตรายหรือเปล่า   รู้เพียงแค่อยากที่จะบินไป

ผมเพิ่งจะได้มีโอกาสได้ดูหนังนอกกระแสเรื่องนี้  ที่ชื่อว่า OWL AND THE SPARROW ถ้าแปลเป็นภาษาไทยคือ นกฮูก และ นกกะจอก  เป็นหนังสัญชาติ เวียดนาม ครับ  ต้องบอกเลยว่ารู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ดูจบ มันเป็นหนังที่ดีจริงๆ สมกับได้รับรางวัล มาครอง  ดูแล้วประทับใจอะไรหลายๆอย่าง ทั้งฉาก เรื่องราวต่างๆ

หนังเล่าเรื่องราวของ สาวน้อยอายุประมาณ 10 กว่าขวบกำพร้าพ่อและแม่ อาศัยอยู่กับลุงที่ชนบทแห่งหนึ่ง
ด้วยความที่เธอเป็นเด็ก และขาดความรักความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ลุงที่คอยแต่จะใช้งานเธอ ดุด่า ตลอด เธอจึงตัดสินใจหนีออกมาผจญภัยในเมืองใหญ่  โดยที่มาเจอ กับ ชายที่มีหน้าที่ดูแล สวนสัตว์ และ แอร์โฮสเตสสาว ทั้งสองคือ บุคคลแปลกแยก โดดเดี่ยวไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวเท่าไหร่                                                                              
หนัง เล่าถึงความเหงา ความโดดเดี่ยวผ่านตัวละครทั้งสาม  ได้อย่างน่าประทับใจ  OWL AND THE SPARROW จะว่าไปมันอาจจะไม่ใช่หนังที่ดูแล้วจะหม่นมากนัก มันยังมีมุมสว่างๆ เพื่อคลี่คลายอารมณ์คนดูอยู่ หลายฉากที่ทำให้ผมอมยิ้มไปกับ เนื้อเรื่อง                                                                                                                                  
หนังพูดในแง่ ภาพในจินตนาการของ เด็กสาวที่อยากที่จะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อ มีแม่ ตัวละครทั้งสอง เป็นเหมือนตัวแทนความอบอุ่นเหล่านั้น  ซึ่งแท้จริงมันขัดแย้งกับโลกความเป็นจริงที่แสนจะโหดร้าย                                  
แต่อย่างไรก็ได้เรียนรู้ถึงความรัก ที่คุณอาจหาได้ยากในสังคม คนเมือง สังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย                 
คุณอาจคิดว่าการที่สาวน้อยเข้าไปผจญชีวิตในเมืองใหญ่ มันยากนักที่จะเจอคนดีๆเหล่านี้  บางครั้งมันอาจเป็นเหมือนจุดเล็กๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ว่าสาวน้อยเธอโชคดี ที่เจอ คนที่เหงาและแปลกแยกเหมือนกับเธอ  ทำให้ชีวิตในเมือง                 เธอเหมือนจะมีความสุขมากกว่า ชีวิตในชนบท                                                                          
                                                                                    
ากที่ทำให้รู้สึกสงสารเด็กน้อยมากๆ คงหนีไม่พ้นฉากที่ลุงของเธอตามเธอกลับ แต่เธอหนีไม่ยอมกลับแล้วมากอดพี่แอร์โฮสเตสสาว                                                                                                                                        
ฉากที่ผมชอบสุดคงเป็นฉากตอนกลางคืน ที่ทั้งสามเดินอยู่ในสวนสนุก หลังจากกินอาหารกันเสร็จ มันเป็นภาพที่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก                                                                                                                                       

ตอนจบก็น่าประทับใจ แต่ผมไม่บอกว่าตอนจบเป็นแบบไหน เพียงแค่ผมอยากจะให้คุณไปหาหนังเรื่องนี้มาดูกันเอง เพราะมันเป็นหนังที่งดงามจริงๆครับ   

คะแนน  B+