วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

" เข็มนาฬิกาของคนสองคนที่ไม่เคยได้บรรจบกัน " What time is it over there ?

 What time is it over there ?





                                                         
"เข็มนาฬิกาของคนสองคนที่ไม่เคยได้บรรจบกัน"

(Taiwan,2001,Ming-liang-Tsai)

บทวิจารณ์ และ วิเคราะห์

นาฬิกาแห่งความเหงา เข็มนาฬิกาที่ไร้จุดหมายปลายทาง ยากต่อการบรรจบพบเจอของคนสองคน
เคยไหมครับที่ชีวิตคุณเจอใครคนหนึ่งแล้วเกิดประทับใจคนคนนั้น แม้มันจะเป็นเพียงแค่ข่วงเวลาสั้นๆ ก็เถอะ  แล้วถ้าคุณเจอคุณจะทำอย่างไร ต่อไป ถ้าวันหนึ่งเราจะไม่เจอคนคนนั้นอีกแล้ว 
จะปล่อยให้เป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำสั้นๆ แล้วจบไปหรือไม่ หรือจะทำให้ช่วงเวลาเหล่านั้นมันยืดยาวออกไป

 ใช่ครับหนังที่ผมจะพูดถึงนั้นเป็นหนังไต้หวัน ของผู้กำกับ ไฉ่เมี่ยงเหลียง
ผู้กำกับที่ได้ขึ้นชื่อว่าทำหนังที่พล๊อตเรื่องประหลาด ชอบใส่ความบิดเบี้ยวให้กับตัวละคร จุดเด่นของผู้กำกับคนนี้ คือทำหนังแช่กล้อง  ตัวละครเนิบๆช้าๆ  เล่าเรื่องราวของคนนอก  ถือว่าเป็นจุดขายเลยหละครับ ผมเพิ่งได้มีโอกาสดูหนังของเขาเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องนี้
What time is it there แล้วชอบบมากก


หนังได้เล่าถึงความแปลกแยก ความเหงา ของคนแปลกหน้าสองคนที่มีโอกาสมาพบกันในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่นั้น ก็คือ ชายหนุ่มไต้หวันขายนาฬิกาแผงลอย ที่สะพานลอย    กับ หญิงสาวไต้หวันซึ่งกำลังจะไปเที่ยวที่กรุงปารีส  ซึ่งเราจะเห็นในฉากแรกๆ หลังจากนั้นเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย แต่หนังตลอดทั้งเรื่องเต็มไปด้วยฉากหรือการผูกเรื่องราวของ 2 คนนี้ที่เชื่อมต่อกันอย่างแปลกประหลาด  ชายที่ค้นพบว่าเขารู้สึกพิเศษกับหญิงสาวที่มาขอซื้อนาฬิกาของเขา จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อเชื่อมโยงเธอ เหมือนว่าอยู่ใกล้ๆกับเธอ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งนาฬิกาที่ไต้หวันให้ตรงกับ เวลาในฝรั่งเศส รวมไปถึงการซื้อแผ่นหนังฝรั่งเศสมาดูวนไปวนมา  และ การจิบไวน์บนตึกในไต้หวัน เหมือนกับจำลองเหตุการณ์ว่าเขากำลังนั่งดื่มไวน์ ที่ปารีสกับเธอจริงๆ  หนังเต็มไปด้วยพล๊อตเรื่องที่บิดเบี้ยว แปลกแยก   การแช่กล้อง ตัวละครที่เคลื่อนไหวช้าๆ แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ ความเหงาที่ยาวนาน



หนังยอมรับว่ามีหลายฉากที่ทำให้ผมเกือบหลับไปบ้าง จะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้ได้ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ที่พิสดารมาช่วยไว้เยอะ ทำให้หนังน่าติดตาม ไม่นั้นผมคงนอนไปได้เลย 
จะพูดไม่ได้ถึงตัวละครอีกตัวนั่นก็คือ แม่ของชายหนุ่มซึ่งสูญเสียสามีเธอไป ผมเดาง่ายๆว่า สามีเธอ น่าจะเป็นมะเร็งปอดตาย เพราะฉากแรกเราเห็นว่า มีชายแก่นั่งอัดบุหรี่ เป็นเวลานานก่อนกินข้าว  นึกในใจจะกินข้าวอยู่แล้ว ยังอัดบุหรี่ อีก อันนี้เดานะ อาจตายด้วยกรณีอื่นก็ได้ครับ แต่ไม่สำคัญ มาดูที่ ตัวละครแม่ของพระเอกบ้าง 
แม่ดูเหมือนว่าจะยอมรับไม่ได้กับการสูญเสียสามี  และเชื่อว่าวิญญาณของสามียังอยู่ในบ้านหลังนี้
เขาจึงมีพฤติกรรมแปลกประหลาด  ไม่ว่าจะเป็น ตักข้าวให้กับสามีเธอ ทั้งที่ก็รู้ว่าตายไปแล้ว ในระหว่างที่กำลังกินอาหารกับลุกชายแค่สองคน แต่เราจะเห็นมี จานข้าวอยู่ 3ใบ  ถ้าทำพิธีไหว้แบบคนจีนก็ไม่ว่านี่เล่นเกือบทุกมื้อ แล้วมันดูขัดๆกับ ชีวิตของผู้คนในประจำวัน  
รวมไปถึงพฤติกรรมที่ผมรับไม่ได้นั่นก็คือ การเอาม่าน เอาผ้าห่ม เอาสิ่งของต่างๆ รวมไปถึง สก๊อตเทปมาแปะบ้านหน้าต่างเพื่อไม่ให้แสงเข้ามา บอกว่าสามีของเธอไม่ชอบแสง
หนังเต็มไปด้วยพฤติกรรมที่หมกมุ่นอยู่กับกาลเวลาของตัวละครทั้งสาม ในเรื่อง  แม่ก็ยังยึดติดกับการเวลาในอดีตมากไปแทนที่จะปล่อยให้มันผ่านไป  ตัวละครชายหนุ่มก็เพ้อฝันว่าอยากให้เวลาเดินเร็วกว่านี้เพื่อที่จะได้เชื่อมโยงกับเธอ ถึงขนาดต้องปรับเวลาในนาฬิกาแทบทุกเรือนให้เป็นไปตามเวลาในกรุงปารีส ส่วนนางเอกดูเหมือนว่าจะพยายามทำให้เวลาในโลกของเธอช้าลงตลอดเวลา ในขณะเวลาในความเป็นจริงที่ฝรั่งเศสเร็วและเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ
จะว่าไปแล้วการหมกมุ่นอยู่กับเวลาของผู้คนบนโลกใบนี้มีให้เห็นกันมากและแทบจะเป็นปกติ
บ้างก็หมกมุ่นกับเวลาในอดีต บ้างก็เพ้อฝันถึงเวลาในอนาคตที่บางครั้งเป็นไปได้ยาก แต่ลืมนึกถึงปัจจุบันที่มีอยู่ ทำให้บางครั้งผู้คนเหล่านั้นดูเหมือนจะเลื่อนลอยและถูกดีดออกจากโลกความเป็นจริงไปแบบที่พวกเขาไม่รู้ตัว

โดยสรุปผมชอบการเชื่อมโยงของเนื้อหาที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้  แล้วหนังสื่อถึงอาชีพของตัวละครชายหนุ่มเป็นคนขายนาฬิกาซึ่งมันสอดคล้องกับเรื่องราวพอดิบพอดี  แต่ยอมรับผมอาจจะรู้สึกเบื่อกับหนังพวกแช่กล้องอยู่บ้าง มันทำให้ผมง่วง แต่ถ้าทดแทนกับเรื่องราววิธีการนำเสนอแล้วก็ถือว่าผ่านเลยดีครับ
หนังไม่ใช่หนังที่เข้าใจง่ายมาก อาจจะต้องดูถึงสองรอบเพื่อที่จะได้ซึมซับกับความคิดหนัง และเรื่องราว ถือเป็นหนังนอกระแสอีกเรื่องที่ผมแนะนำ ถ้าใครชอบหนังเหงาๆ ช้าๆ  แต่ถ้าใครไม่ชอบหนังสไตล์การแช่กล้องผมว่าคุณผ่านไปได้เลยกับหนัง
เรื่องนี้

ระดับความชอบ  B



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น